ปัญหาเดิมที่ไม่เคยแก้

ปัญหาเดิมที่ไม่เคยแก้

blog

ปัญหาเดิมที่ไม่เคยแก้

4 ปีที่แล้ว  2,151

ปัญหาเดิมที่ไม่เคยแก้

ผลการแข่งขันที่แพ้คาบ้านให้กับเบิร์นลี่ย์ถือเป็นผลงานที่ล้มเหลวอีกครั้งของกุนซืออย่างโอเล่ กุนนาร์ โซลชา หลังจากเกมส์ที่แล้วยังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการรับมือกับทีมที่ดีที่สุดในโลก และก็เป็นอีกครั้งที่ดันตกม้าตายอยู่เสมอๆ

ก่อนเกมส์ยูไนเต็ดมีโอกาสจี้ทีมนำอย่างเชลซีเหลือ 3 คะแนนหากชนะได้ในเกมส์เมื่อคืนนี้ สุดท้ายแล้ว ลูกทีมของโอเล่ก็กลับทิ้งทุกอย่างไว้เหมือนเดิม เพราะเป็นอีกครั้งที่ช่องว่างของโอกาสมาแล้ว แต่เราก็ไม่เคยฉกฉวยมันได้สักครั้ง

ผมไม่ขอพูดถูกรายละเอียดต่างๆ ในเกมส์เมื่อคืนนี้นะครับ แต่จะพยายามหยิบยกประเด็นที่สำคัญๆ ต่างทำไมยูไนเต็ดชุดนี้ ถึงเป็นทีมเพียงแค่กลางตาราง และไม่ได้มีความเกรงขามใดๆ ต่อทีมอื่นๆ เลย

เริ่มจากสภาพจิตใจครับ ผมสังเกตหลายนัดแล้วครับว่าหัวใจของการไม่ยอมแพ้นั้น แทบไม่ได้อยู่ในความทรงจำของนักเตะชุดนี้เลย นักเตะชุดนี้อยู่บนพื้นฐานของค่าเหนื่อยมหาศาล เล่นเพราะตัวเองมีอาชีพฟุตบอล ชนะก็ได้ แพ้ไม่เป็นไร ถือเป็นข้อเสีย อย่างยิ่งต่อสโมสรยูไนเต็ดที่พยายามคว้ารางวัลมาโดยตลอด หากสโมสรไม่สามารถสร้างจิตสำนึกในการเป็นผู้ที่ไม่ยอมแพ้ เหตุการณ์ต่างๆ ก็จะเป็นลูปซ้ำๆ แบบนี้เสมอๆ

สภาพร่างกาย โครงสร้างนักเตะชุดนี้ค่อนข้างมีปัญหาอย่างยิ่งเมื่อเจอศึกระยะยาว การมีทีมงานที่ไม่เข้าใจการฟิตเนสคือปัญหาหลักของการบาดเจ็บ ยกตัวอย่างนะครับ ทุกคนรู้ว่าโจนส์ ไบยี่ โรโฮ คือนักเตะที่พร้อมจะเจ็บตลอดเวลา แต่สิ่งที่สโมสรทำคือ ก็แค่รักษาตามสภาพอาการนักเตะ ไม่ได้วิเคราะห์หรือหาแนวทางในการพัฒนาเพื่อป้องกันไม่ให้นักเตะบาดเจ็บในครั้งหน้าได้อย่างไร เพราะทุกครั้งที่หาย ก็จะกลับไปเจ็บ บ่งบอกว่าทีมงานด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ของยูไนเต็ดยังเป็นรองทีมอื่นๆ อยู่พอสมควร

และการประเมิณต่างๆ ของทีมแพทย์ ที่ค่อนข้างไม่มั่นคงและไม่เป็นระบบ การบาดเจ็บเรื่องรั้งของนักเตะในทีม การประเมิณไม่ได้ว่านักเตะมีกำหนดการกลับมาลงเล่นเมื่อไร และการตรวจสอบไม่ได้ว่านักเตะควรจะพักนานแค่ไหน หรือ แม้แต่หลักประเมิณเบื้องต้นทีมแพทย์ก็ยังให้คำตอบไม่ได้ ผมถือเป็นความล้มเหลวด้านการบริหารจัดการนักเตะอย่างแท้จริง จริงอยู่ที่ว่ากลุ่มนักเตะเรามีขนาดเล็ก แต่ทีมแพทย์ก็ควรจะรับผิดชอบต่อนักเตะของตัวเองให้มีประสิทธิภาพมากกว่านี้

โครงสร้างบอร์ดบริหารที่ห่วยแตกและเฮงซวย บอร์ดบริหารคืออำนาจสูงสุดของสโมสรในการกำหนดทิศทางของสโมสรว่าควรจะเดินไปทางไหน แต่ทว่ายูไนเต็ดกลับมีทิศทางชัดเจนคือเรื่องของ การพัฒนาความมั่นคั่งของสโมสรมากกว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนเกี่ยวกับฟุตบอลอย่างที่แฟนบอลต้องการ

ก่อนอื่นต้องเข้าใจปัญหาก่อนนะครับว่าปัญหาใหญ่ของทีมตลอดช่วงที่ผ่านคือการที่บอร์ดบริหารไม่เข้าใจว่าตัวเองทำหน้าที่อะไรนั้นเอง อย่างแรกคือ การมี CEO ของสโมสรที่คอยดูแลทุกอย่างของสโมสร จริงที่ว่า เอ็ด วู้ดเวิรด์คือคนที่จัดการเก่งในระดับต้นๆ ของโลก เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้มีความเข้าใจเรื่องการจัดการด้านฟุตบอลนั้นเอง

ผมยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดๆ นะครับว่า ทางที่สโมสรเริ่มกลับสู่ตลาดแต่ทุ่มอย่างบ้าคลั่งเพื่อประกาศว่าตัวเองสามารถซื้อนักเตะทุกคนในตลาด นั้นคือการประกาศเจตนารมณ์ที่ผิดตั้งแต่ตอนนั้น และผลลัพธ์ความยากลำบากเกิดขึ้นทันทีในยุคนี้ ทำไมนะหรือ เห็นได้ชัดเลยครับว่า ก่อนหน้านี้ เราทุ่มเงินไปกับการละลายแม่น้ำ การซื้อนักเตะที่ไม่ได้มองถึงผลงานระยะยาว การซื้อนักเตะเพียงเพราะต้องการทำเรื่องการตลาด และการซื้อนักเตะไม่ได้ตอบโจทย์แผนผู้จัดการทีม นั้นคือสิ่งที่เราเป็นตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา จึงบอกได้เลยว่าการบริหารงานที่ผิดพลาดคือผลพวงที่ทำให้เกิดความล้มเหลวในปัจจุบัน

เช่นเดียวกัน การที่บอร์ดบริหารยังคงไม่สามารถจัดการเรื่องฟุตบอลได้อย่างเหมาะสม ก็จะทำให้ปัญหาเดิมๆ ก็ยังคงอยู่ต่อไป การตั้งผอ.เทคนิค หรือ แม้แต่ก็ตั้ง ผอ.การซื้อขาย ถือเป็นเรื่องที่แฟนบอลรอคอยอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะจะทำให้บทบาทหน้าที่ของ CEO นั้นเป็นเพียงแค่ดูเรื่องภาพรวมบริษัท มากกว่าการบินไปเจรจาซื้อขายนักเตะอย่างที่ตัวเองไม่ได้ถนัดเท่านั้น ดังนั้น ยูไนเต็ดในตอนนี้ ก็เปรียบเสมือนว่า การวางคนได้ผิดกับงานอย่างแท้จริง และผลลัพธ์ก็ตามสภาพเลยครับ

นอกจากนี้ ความเข้มข้นในการซ้อม การจัดการของผู้จัดการทีม ความพร้อมของทีมงานก็เป็นหนึ่งในจุดด้อยของทีมอย่างไม่ต้องสงสัย การประเมิณข้อมูลนักเตะ การประเมิณขุมกำลังทีม และการอ่อนด้อยต่อประสบการณ์ในการพาทีมในการเล่นเกมส์ในระยะยาว คือบทเรียนของทีมงานชุดปัจจุบันที่ต้องรับผิดชอบกับความล้มเหลวต่าๆ ในการตัดสิน

จริงที่ว่านักเตะไม่ได้มีมากพอในการใช้งาน แต่ได้ทำการเรียกร้องต่อบอร์ดบริหารแล้วในการทำให้เห็นว่านักเตะแค่นี้ ไม่สามารถจะต่อยอดได้ แต่สิ่งที่ทีมงานของผู้จัดการทีมต้องจัดการ มันมีมากกว่านั้น การเตรียมแผน A หรือ อาจจะถึง Z คือความเป็นมืออาชีพและประสบการณ์ของการที่จะเป็นผู้จัดการทีมอย่างยิ่งใหญ่ได้ และส่วนนี้ผมจะไม่ขอลงประเด็นไปยังโอเล่ แต่ผมเพียงแค่เข้าใจว่าโอเล่คงเรียนรู้ในการจัดการทีมได้แล้วในระยะยาว

คำถามที่ทุกคนสงสัยคือ โอกาสที่จะมีอายุในการคุมทีมต่อไป มีมากน้อยแค่ไหน อันนี้ผมตอบไม่ได้เลยครับ นโยบายสโมสรเป็นแบบไหน ทีมก็เป็นแบบนั้นแหละครับ สั้นๆ ง่าย เราไม่สามารถคาดเดาอะไรเกี่ยวกับบอร์ดบริหารได้เลย แม้แต่การซื้อขายนักเตะท่ามกลางนักเตะพิการเกือบทั้งที ทางบอร์ดบริหารก็ไม่ได้แสดงจุดยืนชัดเจนว่าต้องการปกป้องหรือ พัฒนาทีมเลย หากจะมีการเปลี่ยนแปลงของทีมละก็ การเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร คือ สิ่งที่ควรทำมากที่สุดมากกว่า การปลดผู้จัดการทีม

ทำไมปลดผู้จัดการทีมไม่ได้ตอบสนองผลงานที่ย่ำแย่ ผมเข้าใจแฟนบอลทุกคนนะครับ ผมเองก็ไม่ชอบโอเล่ครับ บอกตามตรง แต่การปลดโค้ชคือคำตอบที่แย่ที่สุดครับ เพราะทุกอย่างจะกลายเป็นวัฐจักรไปทันที หากปลดแล้วมีคนใหม่ ผลงานไม่ดี ปลดแล้วมีคนใหม่ จะหมุนเรื่อยๆ แบบนี้เสมอ ซึ่งผมมองว่ายังไง มันก็ไม่เวิร์ค สิ่งที่ต้องทำจริงๆ คือ การวางแผนชัดเจนมากกว่าของบอร์ด เช่น โอเล่มีหน้าจัดการทีมช่วงนี้นะ โดยมีวัตถุประสงค์อะไรบ้างๆ ก็ว่าไป ส่วนจัดการเรียบร้อย ก็อาจจะเป็นผู้จัดการคนนี้นะ สเปคตามนี้ ตามแนวทางบอร์ด อะไรแบบนี้ แล้วก็มาปรับเปลี่ยนรายละเอียด นิดๆ หน่อยๆ เพื่อให้ไปสู่เป้าหมาย ไม่ใช่ว่า เปลี่ยนปุป รื้อแนวทาง แล้ว เริ่มใหม่ ทุกอย่างก็อยู่ที่เดิมไม่ไปไหนสักที

ฉะนั้นแล้ว ผมพูดได้คำเดียวว่า "ลูปการแพ้" จะถี่เรื่อยๆ หากนักเตะมีแค่นี้ และให้แฟนผีเตรียมรับแรงกระแทกได้เลย

สิ่งเดียวที่จะทำให้ผีกลับมาได้อีกครั้ง นั้นก็คือ "เพิ่มความถี่ของการชนะ และเพิ่มจิตวิญญานของการเป็นผู้ชนะ" และเรื่องต่างๆ ก็จะตามมาเอง แต่ทว่าตอนนี้ มันยังทำไม่ได้นั้นแหละ

ฉะนั้น ทุกคน

"ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นซะ แล้วเดินหน้ากันต่อ"

"แม้ว่าวันนี้ ไม่ใช่วันที่เราหวัง แต่สักวันวันของเราก็มา"

สำหรับวันนี้สวัสดีครับ